วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558

แนะนำตัวเอง


สวัสดีค่ะ ^ _^ 
ดิฉัน  นางสาวปรินทิพย์    จันธิมา
รหัสนักศึกษา: 571758115
คณะแพทย์แผนไทย
เรียนวิชา : เทคโนโลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวัน GEN1102 
Section : AD

เทคโนโลยีสื่อประสม

ความหมายและองค์ประกอบของสื่อประสม





เทคโนโลยีสื่อประสม





 ความหมาย

        สื่อประสมหรือสื่อหลายแบบ (Multimedia) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถผสมผสานระหว่างข้อความ ข้อมูล ตัวเลข ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง ตลอดจนระบบโต้ตอบกับผู้ใช้ (Interactive) มาผสมผสานเข้าด้วยกัน
        สื่อประสมหรือมัลติมีเดีย หมายถึงการนำเอาสื่อหลาย ๆ อย่าง เช่น รูปภาพ เทป แผ่นโปร่งใส มาใช้ร่วมกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการเรียนการสอน ต่อมาเมื่อมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้มากขึ้น และสามารถใช้งาน ได้ทั้งภาพนิ่ง เสียง ข้อความและภาพเคลื่อนไหว ทำให้ความหมายของสื่อประสมเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งส่วนประกอบหลัก ที่มีใช้ทั่วไปของคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียจะมี CD-ROM sound card และลำโพง เพิ่มเข้ามาในคอมพิวเตอร์ หรืออาจมีส่วนประกอบที่เกี่ยวกับการใช้งานวิดีโอด้วย นอกจากนี้ยังมีความหมายรวมถึงการใช้การใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น เครื่องวิดีโอเทปเสียง ซีดีรอม กล้องดิจิตอล โทรทัศน์ฯลฯ ให้ทำงานร่วมกัน การใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมอุปกรณ์หลาย ๆ อย่างดังกล่าวจะต้องอาศัย โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Software) และอุปกรณ์ (Hardware) ต่าง ๆ ประกอบกัน บางครั้งจึงเรียกว่าสถานีปฏิบัติการมัลติมีเดีย (Multimedia workstation) 
        ไฮเปอร์มีเดีย หมายถึง โปรแกรมคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย นำเสนอสารสนเทศต่าง ๆ ในรูปของ ตัวอักษร ภาพ เสียง และการเคลื่อนไหว โดยผู้ใช้สามารถเชื่อมโยง เลือกหรือเปลี่ยนแปลงวิธีการ ตลอดจนขั้นตอนการเรียนรู้ได้ตามที่กำหนด ไว้ในโปรแกรม




องค์ประกอบของสื่อประสม




รูปองค์ประกอบของเทคโนโลยีสื่อประสม

ข้อความ (Text)

     ข้อความ (Text) เป็นส่วนที่มีความเกี่ยวข้องในเนื้อหาของสื่อประสมเสมอ
และเป็นหนทางการนำเสนอได้ง่ายที่สุด และมีการพัฒนามาพร้อมกับคอมพิวเตอร์
ลักษณะของข้อความที่ปรากฏในสื่อประสม ประกอบด้วย
  • ข้อความที่พิมพ์ เป็นข้อความเอกสารที่พิมพ์ออกมาในรูปกระดาษ
  • เป็นผลงานของงานพิมพ์เอกสารทั่วไป เช่น
  • งานเวิร์ดโปรเซสเซอร์ตัวอักษรแต่ละตัวเก็บในรูปแบบรหัส เช่น รหัส ASCII
  • ข้อความสแกน เป็นเอกสารที่ได้รับจากการสแกน
  • และเป็นข้อความที่เก็บในรูปแบบรูปภาพ หรือ Image
  • ข้อความอิเล็กทรอนิกส์
  •  เป็นการแทนข้อความให้อยู่ในรูปที่แทนในสื่อที่ใช้ประมวลผลได้
  • ข้อความหลายมิติ (Hypertext) มีบทบาทสำคัญมากในยุคหลังนี้
  • เพราะเป็นข้อความที่เก็บในรูปข้อความอิเล็กทรอนิกส์ และมีการเชื่อมโยงกัน
  • สามารถนำมาประมวลผลและแสดงผลในลักษณะเชื่อมโยงกันได้
  • จึงเหมาะกับผู้ใช้

ภาพ (Graphics)

     เป็นส่วนของสื่อประสมที่ใช้ประโยชน์ในการสื่อความหมายได้ดี มีสีสรร
และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้กว้างขวาง เพราะดึงดูดความสนใจได้
ภาพประกอบด้วย
  • บิตแมพ (Bitmaps) เป็นการเก็บรูปภาพเป็นพิกเซล แต่ละพิกเซลก็คือจุดเล็กๆ
  • ที่แสดงเป็นสี การเก็บข้อมูลจะเก็บเป็นพิกเซล
  • ดังนั้นรูปภาพแต่ละรูปจึงต้องเก็บข้อมูลจำนวนมาก
  • ในการจัดเก็บจึงมีเทคนิคการบีบอัดข้อมูล เพื่อให้เล็กลง
  • ผู้พัฒนาได้สร้างมาตรฐานการเก็บข้อมูลและบีบอัด เช่น .jpg .gif .tif .fax
  • เป็นต้น
  • คลิปอาร์ต ในการสร้างสื่อประสมจำเป็นต้องมีรูปภาพประกอบ
  • เพื่อความสวยงามและดึงดูความสนใจ เพื่อให้การสร้างสื่อประสมทำได้เร็ว
  • จึงมีการเก็บรูปภาพเป็นห้องสมุดภาพ ที่เรียกมาใช้ได้ง่าย
  • ภาพที่เก็บอาจเป็นภาพส่วนหลัง (Background) ภาพขอบ ภาพพื้น
  • ที่ใช้ประกอบฉากหรือนำมาตกแต่ง ตลอดจนภาพที่ใช้เสริมรูปภาพต่างๆ
  • ภาพจากอุปกรณ์อินพุตต่างๆ 
  • เป็นภาพที่ได้จากกล้องถ่ายภาพดิจิตอลจากวีดิทัศน์ จากสแกนเนอร์ ฯลฯ
  • ไฮเปอร์พิกเจอร์ (Hyperpictures) 
  • เป็นภาพที่ปรากฏในสื่อประสมที่สามารถเชื่อมโยง
  • หรือกระตุ้นให้เกิดการทำงานบางอย่าง เช่น เมื่อคลิกแล้วจะกลายเป็นวีดิทัศน์

เสียง (Sound)

     เสียงเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบการนำเสนอแบบสื่อประสม
เสียงทำให้บรรยากาศการรับรู้น่าสนใจ เช่น ในเกม ภาพยนตร์ ซีดี
จะมีการบันทึกเสียงเป็นส่วนหลังเพื่อสร้างอารมณ์ต่างๆ ร่วมด้วย
ลักษณะของเสียงประกอบด้วย
  • คลื่นเสียงแบบออดิโอ มีการบันทึกเป็น .WAV .AU
  • การบันทึกจะบันทึกตามลูกคลื่นเสียง
  • โดยมีการแปลงเป็นสัญญาณให้เป็นดิจิตอล
  • เก็บในรูปแบบการบีบอัดเสียงเพื่อให้เล็กลง
  • เสียง CD เป็นรูปแบบบันทึกที่มีคุณภาพสำหรับการบันทึกลงบนแผ่น
  • CDเพลงที่วางขายทั่วไป บันทึกตามมาตรฐานนี้
  • MIDI เป็นเสียงที่ใช้แทนเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ สามารถเก็บข้อมูล
  • และให้วงจรอิเล็กทรอนิกส์สร้างเสียงตามตัวโน้ต
  • เสมือนการเล่นของเครื่องดนตรีนั้นๆ
  • ไฮเปอร์ออดิโอ เป็นการนำสัญญาณเสียงไปกระตุ้นหรือผสมกับการทำงาน
  • เพื่อการนำเสนอที่สลับซับซ้อนขึ้น

วีดิทัศน์ (Video)

     วีดิทัศน์เป็นภาพที่มีการเคลื่อนไหวประกอบเสียง
วีดิทัศน์เป็นรูปแบบการนำเสนอที่ให้รายละเอียดการเคลื่อนไหวเหมือนจริง
ส่วนของวีดิทัศน์ประกอบด้วย
  • ดิจิทัลวีดิทัศน์ เป็นการนำสัญญาณวีดิทัศน์ เก็บในรูปการบีบอัด
  • เพื่อให้เก็บได้เล็กลง มีการสร้างมาตรฐาน เช่น MPEG, AVI, MOV
  • สัญญาณถ่ายทอดสด เป็นการนำเอาสัญญาณวีดิทัศน์
  • จากการถ่ายทอดรายการจริง
  • เชื่อมโยงการกระจายส่งไปยังปลายทางที่ต้องการ
  • ในส่วนของวีดิทัศน์มีอุปกรณ์การประมวลผลหลายอย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้อง

การสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์



บทบาทของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
    
       การติดต่อสื่อสารเป็นการพูดคุยหรือส่งข่าวสารกันของมนุษย์ ซึ่งอาจเป็นการแสดงออกด้วยท่าทาง



การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ก่อให้เกิดประโยชน์ดังนี้
1. สะดวกในการแบ่งปันข้อมูล 
ปัจจุบันมีข้อมูลจำนวนมากสามารถถูกส่งผ่านเครือข่ายการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว เช่น การส่งข้อมุลผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ระบบดีเอสแอล (Digital Subscriber Line :DSL) ถ้าส่งด้วยอัตราเร็ว 2 Mbps หรือประมาณ 256 kb/s จะส่งข้อมูลจำนวน 200 หน้าได้ในเวลาน้อยกว่า 10 วินาที
2. ความถูกต้องของข้อมูล 
การรับส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่ายการสื่อสารเป็นการส่งแบบดิจิทัล ซึ่งระบบการสื่อสารจะมีการตรวจสอบความถูกต้องของขั้อมูลที่ส่งและแก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาดให้ถูกต้องได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นการสื่อสารข้อมุลจึงมีความเชื่อถือได้สูง
3. ความเร็วในการรับส่งข้อมูล 
การใช้คอมพิวเตอร์ในการส่งข้อมูลหรือค้นหาข้อมุลจกาฐานข้อมุลขนาดใหญ่ทำได้อย่างรวดเร็ว เนื่องสัญญาณทางไฟฟ้าเดินทางด้วยความเร็วใกล้เคียงความเร็วแสง เช่น การดูภาพยนตร์ หรือรายการโทรทัศน์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต การตรวจสอบหรือการจองที่นั่งของสายการบินสามารถทำได้ทันที
4. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการสื่อสารข้อมูล 
การรับและส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายการสื่อสารสามารถทำได้ในราคาถูกกว่าการสื่อสารแบบอื่น เช่น การใช้งานโทรศัพท์โดยผ่านอินเทอร์เน็ตหรือที่เรียกว่า วอยซ์โอเวอร์ไอพี (Vioce over IP :VoIP) จะมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการใช้งานโทรศัพท์โดยผ่านระบบโทรศัพท์พื้นฐาน หรือการใช้อีเมล์ส่งข้อมูลหรือเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์จะมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าและรวดเร็วกว่าการส่งเอกสาร
5.สะดวกในการแบ่งปันทรัพยากร  ในองค์กรณ์สามารถใช้อุปกรณ์สารสนเทศร่วมกันได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายติดตั้งอุปกรณืให้กับทุกเครื่อง เช่น เครื่องพิมพ์ นอกจากนี้ยังสามารถใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกันได้ โดยจัดเก็บโปแกรมและข้อมูลเหล่านั้นไว้ที่แหล่งเก็บข้อมูลที่เป็นศูนย์กลาง เช่น เครื่องบริการไฟล์ (file server) เป็นต้น
6.ความสะดวกในการประสานงาน ในองค์กรที่มีหน่วยงานย่อยหลายแห่งที่อยู่ห่างไกลกันสามารถทำงานประสานกันผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เช่น การประชุมทางไกล และการแก้ไขเอกสารร่วมกันผ่านระบบเครือข่าย
7.ขยายบริการขององค์กร เครือข่ายคอมพิเตอร์ทำให้องค์กรสามารถกระจ่ายที่ทำการไปยังจุดต่างๆที่ต้องการให้บริการ เช่น ธนาคารมีสาขาทั่วประเทศ สามารถถอนเงินได้จากตู้เอทีเอ็มหรือฝากเงินผ่านตู้ฝากเงินสด
8.การสร้างบริการรูปแบบใหม่บนเครือข่าย การให้บริการต่างๆผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าใช้บริการได้ทุกที่ทุกเวลา เช่น การซื้อสินค้าผ่านร้านค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นบริการแบบหนึ่งของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e – commerce) และการรับชำระค่าสินค้า ค่าสาธารณูปโภคผ่านจุดรับชำระแบบออนไลน์ ที่เรีกยว่าเคาน์เตอร์เซอร์วิส (counter service)


การสื่อสารข้อมูล



การสื่อสารข้อมูล จึงหมายถึง การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งอาจอยู่ในรูปของตัวอักษร 

ตัวเลข รูปภาพ เสียง ระหว่างอุปกรณ์สื่อสาร โดยผ่านทางสื่อกลางในการสื่อสารซึ่งอาจเป็น

สื่อกลางประเภทที่มีสายหรือไร้สายก็ได้

องค์ประกอบหลักของระบบสื่อสารข้อมูลมีอยู่ 5 อย่าง ได้แก่ 

ข่าวสารหรือข้อมูล(message) คือ ข้อมูลหรือสารสนเทศต่างๆ ที่ต้องส่งไปยัผู้รับ เช่น ตัวเลข  รูปภาพ

ผู้ส่ง(sender)  คือ  คนหรืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับส่งข้อมูล/ข่าวสาร ซึ่งอาจเป็น คอมพิวเตอร์

ผู้รับ (receiver)  คือ  คนหรืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับรับข้อมูล/ข่าวสารที่ททางผู้ส่งข้อมูลส่งให้

 สื่อกลาง  (media)  คือ  สิ่งที่ทำหน้าที่ในการรับส่งข้อมูล/ข่าวสารไปยังจุดหมายปลายทาง

โพรโทคอล   (protocol)  คือ  กฎเกณฑ์  ระเบียบ หรือข้อปฏิบัติต่างๆ ที่กำหนดขึ้นมา

4.3 สื่อกลางในการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลทุกชนิดต้องอาศัยสื่อกลางในการส่งผ่านข้อมูลเพื่อนำข้อมูลไปยังจุดหมายปลายทาง เช่น การคุยโทรศัพท์อาศัยสายโทรศัพท์เป็นสื่อกลางในการส่งสัญญาณคลื่นเสียงไปยังผู้รับ เป็นต้น สำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างงคอมพิวเตอร์อาจใช้สายเชื่อมต่อผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่อหรืออาจใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อเป็นแบบไร้สายเป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อได้ สื่อกลางในการสื่อสารมีความสำคัญเพราะเป็นปัจจัยหนึ่งที่กำหนดประสิทธิภาพในการสื่อสาร เช่น ความเร็วในการส่งข้อมูล ปริมาณของข้อมูลที่สามารถนำไปได้ในหนึ่งหน่วยเวลา รวมถึงคุณภาพของการส่งข้อมูล
4.3.1 สื่อกลางแบบไร้สาย
1.สายคู่บิดเกลียว(twisted pair cable) สายนำสัญญาณแต่ละคู่สายเป็นสายทองแดงจะถูกพันบิดเป็นเกลียว เพื่อลดการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากคู่สายข้างเคียงกันภายในสายเดียวกันหรือจากภายนอก ทำให้สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง สายคู่บิดเกลียวสามารถใช้ส่งข้อมูลจำนวนมากเป็นระยะทางไกลได้หลายกิโลเมตร เนื่องจากราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี น้ำหนักเบา ง่ายต่อการติดตั้ง นิยมใช้อย่างกว้างขวาง  สายคู่บิดเกลียวมี 2 ชนิด คือ
-สายคู่บิดเกลียวแบบไม่ป้องกันสัญญาณรบกวน หรือสายยูทีพี (Unshieded Twisted pair :UTP) เป็นสายใช้ในระบบโทรศัพท์ ต่อปรับปรุงคุณสมบัติให้ดีขึ้น จนสามารถใช้กับสัญญาณความถี่สูงได้ ทำให้ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงขึ้น

รูปที่ 4.12 สายยูทีพี

-สายคู่บิดเกลียวแบบป้องกันสัญญาณรบกวน หรือสายเอสทีพี (Shielded Twisted pair :STP) เป็นสายที่หุ้มด้วยตัวกั้นสัญญาณเพื่อป้องกันการรบกวนได้ดียิ่งขึ้น สายเอสทีพีรองรับความถี่ของการส่งข้อมูลสูงกว่าสายยูทีพี แต่มีราคาแพงกว่า
คำอธิบาย: http://uc.exteenblog.com/armka2518/images/ftp50_c3_in.jpg
รูปที่ 4.13 สายเอสทีพี

ในปัจจุบันการติดตั้งสายสัญญาณภายในอาคารนิยมใช้สายยูทีพีเป็นหลัก เพราะมีราคาถูกกว่า สายเอสทีพี และมีการพัฒนามาตรฐานให้มีคุณภาพสูงสามารถส่งข้อมูลความเร็วสูงได้ดีขึ้น
2.สายโคแอกซ์ (coaxial cable) เป็นสายนำสัญญาณที่รู้จักกันดี โดยใช้เป็นสายนำสัญญาณที่ต่อจากเสาอากาศเครื่องรับโทรทัศน์หรือสายเคเบิลทีวี ตัวสายประกอบด้วยลวดทองแดงที่เป็นแกนหลักหนึ่งเส้นหุ้มด้วยฉนวนเพื่อป้องกันกระแสไฟรั่ว จากนั้นจะหุ้มด้วยตัวนำซึ่งทำจากทองแดงถักเป็นร่างแหเพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสัญญาณรบกวนอื่นๆ ก่อนหุ้มชั้นนอกสุดด้วยฉนวนพลาสติก และนิยมใช้เป็นสายนำสัญญาณแอนะล็อกเพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ภาพและเสียง(audio-vedio decives) ต่างๆ ภายในบ้านและสำนักงาน 
 คำอธิบาย: http://uc.exteenblog.com/armka2518/images/coaxla.gif
รูปที่ 4.14 สายโคแอกซ์

3.สายไฟเบอร์ออพติก (fiber-optic cable) ประกอบด้วยกลุ่มของเส้นใยทำจากแก้วหรือพลาสติกที่มีขนาดเล็กประมาณเส้นผม แต่ละเส้นจะมีแกนกลาง (core) ที่ถูกห่อหุ้มด้วยวัสดุใยแก้วอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า แคล็ดดิง (cladding) และหุ้มอีกชั้นด้วยฉนวนเพื่อป้องกันการกระแทกและฉีกขาด 


รูปที่ 4.15 สายไฟเบอร์ออพติก


4.3.2 สื่อกลางแบบไร้สาย 
การสื่อสารแบบไร้สายอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสื่อกลางนำสัญญาณ ซึ่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถนำมาใช้ในการสื่อสารข้อมูลมีหลายชนิด แบ่งตามช่วงความถี่ที่แตกต่างกัน สื่อกลางของการสื่อสารแบบนี้ เช่น อินฟาเรด(Infared : IR) ไมโครเวฟ(microwave) คลื่นวิทยุ (radio wave)และดาวเทียมสื่อสาร(communicatios satellite)
1.อินฟาเรด สื่อกลางประเภทนี้มักใช้กับการสื่อสารข้อมูลที่ไม่มีสิ่งกีดขวางระหว่างตัวส่งและตัวรับสัญญาณ เช่น การส่งสัญญาณจากรีโมตคอนโทรลไปยังเครื่องรับโทรทัศน์หรือวิทยุ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์โดยผ่านพอร์ตไออาร์ดี (The Infared Data Association : IrDA) ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายระยะใกล้
 
รูปที่4.16 การเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆผ่านพอร์ตไออาร์ดีเอ

2.ไมโครเวฟ เป็นสื่อกลางในการสื่อสารทีมีความเร็วสูง ใช้สำหรับการเชื่อมต่อระยะไกลโดยการส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปในอากาศพร้อมกับข้อมูลที่ต้องการส่ง และต้องมีสถานีที่ทำหน้าที่ส่งและรับข้อมูล และเนื่องจากสัญญาณไมโครเวฟจะเดินทางเป็นเส้นตรงไม่สามารถเลี้ยวตามความโค้งของผิวโลกได้ จึงต้องมีการตั้งสถานีรับส่งข้อมูลเป็นระยะ และส่งข้อมูลต่อกันระหว่างสถานี จนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง และแต่ละสถานีจะตั้งอยู่มนที่สูง เช่น ดาดฟ้า ตึกสูง หรือยอดเขา เพื่อหลีกเลี่ยงการชนสิ่งกีดขวางในแนวการเดินทางของสัญญาณ การส่งข้อมูลผ่านสื่อกลางชนิดนี้เหมาะกับการส่งข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลมากๆและไม่สะดวกในการวางสายสัญญาณ ซึ่งเสาสัญญาณแต่ละเสาสามารถวางห่างกันได้ถึง 80 กิโลเมตร  ตัวอย่างการส่งสัญญาณไมโครเวฟผ่านพื้นผิวดิน
 
รูปที่ 4.17 การส่งสัญญาณผ่านไมโครเวฟภาคพื้นดิน

3.คลื่นวิทยุ เป็นสื่อกลางที่ใช้ส่งสัญญาณไปในอากาศ โดยสามารถส่งในระยะได้ทั้งใกล้และไกล โดยมีตัวกระจายสัญญาณ(broadcast) ส่งไปยังตัวรับสัญญาณ และใช้คลื่นวิทยุในช่วงความถี่ต่างๆกันในการส่งข้อมูล เช่น การสื่อสารระยะไกลในการกระจายเสียงวิทยุระบบเอเอ็ม(Amplitude Modulation : AM) และเอฟเอ็ม (Frequency Modulation : FM)  หรือการสื่อสารระยะใกล้ โดยใช้ไวไฟ (WI-FI) และบลูทูท (Bluetooth)
 

รูปที่ 4.18 การสื่อสารระยะใกล้โดยใช้บลูทูท

4.ดาวเทียมสื่อสาร พัฒนาขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของสถานีรับส่งไมโครเวฟบนผิวโลกโดยเป็นสถานีรับส่งสัญญาณไมโครเวฟบนอวกาศ ในการส่งสัญญาณต้องมีสถานีภาคพื้นดินคอยทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณขึ้นไปบนดาวเทียมที่โคจรอยู่สูงจากพื้นโลกประมาณ 35,600 กิโลเมตร โดยดาวเทียมเหล่านั้นจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เท่ากับการหมุนของโลก จึงเสมือนกับดาวเทียมนั้นอยู่นิ่งกับที่ขณะที่โลกหมุนรอบตัวเอง ทำให้การส่งสัญญาณไมโครเวฟจากสถานีหนึ่งขึ้นไปบนดาวเทียม และการกระจายสัญญาณจากดาวเทียมลงมายังสถานีตามจุดต่างๆบนผิวโลกเป็นไปอย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังมีการใช้งานดาวเทียมในการระบุตำแหน่งบนพื้นโลกเรียกว่า ระบบจีพีเอส โดยบอกพิกัดเส้นรุ้งและเส้นแวงของผู้ใช้งานเพื่อใช้ในการนำทาง
  
รูปที่ 4.19 การสื่อสารผ่านดาวเทียมและจีพีเอส
4.4 เครือข่ายคอมพิวเตอร์ 
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer network) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเข้าด้วยกันเพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลและทัรพยากรร่วมกันได้ เช่น สามารถใช้เครื่องพิมพ์ร่วมกันได้  สามารถใช้ฮาร์ดิสก์ร่วมกันได้ แบ่งปันอุปกรณ์อื่นๆที่มีราคาแพง แม้กระทั่งสามารถใช้โปรแกรมร่วมกันได้ เป็นการลดต้นทุนขององค์กร
เครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นประเภทตามพื้นที่ที่ครอบคลุมการใช้งานของเครือข่าย ดังนี้
1. เครือข่ายส่วนบุคคล (Personal Area Network :PAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ส่วนบุคคล เช่นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์มือถือ การเชื่อมต่อพีดีเอกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งการเชื่อมต่อแบบนี้จะอยู่ระยะใกล้ และมีการเชื่อต่อแบบไร้สาย
คำอธิบาย: http://uc.exteenblog.com/armka2518/images/PAN.png
รูปที่ 4.20 เครือข่ายส่วนบุคคล

2.เครือข่ายเฉพาะที่ หรือแลน ( Local Area Network :LAN) เครือข่ายที่ใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เช่น ภายในบ้าน ภายในสำนักงานและภายในอาคาร สำหรับการใช้งานภายในบ้านนั้น อาจเรียกเครือข่ายประเภทนี้ว่าเครือข่ายที่พักอาศัย(home network) ซึ่งอาจเชื่อมต่อแบบใช้สายหรือไร้สาย
คำอธิบาย: http://uc.exteenblog.com/armka2518/images/rzai2500.gif
รูปที่ 4.21 เครือข่ายเฉพาะที่ หรือแลน
3. เครือข่ายนครหลวง หรือแมน(Metropolitan Area Network :MAN) เครือข่ายที่ใช้เชื่อมโยงแลนที่อยู่ห่างไกลออกไป เช่น การเชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างสำนักงานที่อาจอยู่คนละอาคารและมีระยะทางไกลกัน การเชื่อมต่อชนิดนี้อาจใช้สายไฟเบอร์ออพติก หรือบางครั้งอาจใช้ไมโครเวฟเชื่อมต่อ เครือข่ายแบบนี้ที่ใช้ในสถานศึกษามีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครือข่ายแคมปัส (Campus Area Network :CAN)
คำอธิบาย: 2-1
รูปที่ 4.22 เครือข่ายนครหลวง หรือแมน

4. เครือข่ายวงกว้าง หรือแวน (Wide Area Network :WAN) เครือข่ายที่ใช้ในการเชื่อมโยงกับเครือข่ายอื่นที่อยุ่ไกลจากกันมาก เช่น เครือข่ายระหว่างจังหวัด หรือระหว่างภาค รวมไปถึงเครือข่ายระหว่างประเทศ
คำอธิบาย: http://uc.exteenblog.com/armka2518/images/wan.gif
คำอธิบาย: wan
รูปที่ 4.23 เครือข่ายวงกว้าง หรือแวน

4.4.1 ลักษณะของเครือข่าย ในการใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกัน สามารถแบ่งลักษณะของเครือข่ายตามบทบาทของเครื่องคอมพิวเตอร์ในการสื่อสารได้ดังนี้
1.เครือข่ายแบบรับ-ให้บริการ หรือไคลเอนท์/เซิร์ฟเวอร์ (Client-Server Network ) 
จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่เป็นเครื่องให้บริการต่าง ๆเช่น บริการเว็บ และบริการฐานข้อมูล การให้บริการขึ้นอยู่กับการร้องขอบริการจากเครื่องรับบริการ เช่น การเปิดเว็บเพจ เครื่องรับบริการจะร้องขอบริการไปที่เครื่องให้บริการเว็บ จากนั้นเครื่องให้บริการเว็บจะตอบรับและส่งข้อมูลกลับมาให้เครื่องรับบริการ ข้อดีคือ สามารถให้บริการแก่เครื่องรับบริการได้เป็นจำนวนมาก ข้อด้อยคือมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษาค่อนข้างสูง 
คำอธิบาย: 1
รูปที่ 4.24 ไคลเอนท์/เซิร์ฟเวอร์

2.เครือข่ายระดับเดียวกัน (Peer-to-Peer Network : P2P network)
เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเป็นได้ทั้งเครื่องให้บริการและเครื่องรับบริการ.การใช้งานส่วนใหญ่มักใช้ในการแบ่งปันข้อมูล เช่น เพลง ภาพยนตร์ โปรแกรม และเกม   เครือข่ายแบบนี้เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในผู้ใช้อินเทอร์เน็ต การใช้งานจะมีซอฟต์แวร์เฉพาะ เช่น โปรแกรม eDonkey , BitTorrentและ LimeWire  ข้อดีคือง่ายต่อการใช้งานและราคาไม่แพง ข้อด้อยคือไม่มีการควบคุมเรื่องความปลอดภัยจึงอาจพบว่านำไปใช้ในทางไม่ถูกต้อง เช่น การแบ่งปันเพลง ภาพยนตร์และโปรแกรมที่มีลิขสิทธิ์ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมาย 
คำอธิบาย: ANd9GcQ3cBmTTgAPj81zNmbN5le5x2_bPYa28lBXW5p7bViTSZ5GpOFtgQ
รูปที่ 4.25 เครือข่ายระดับเดียวกัน
4.2.2 รูปร่างเครือข่าย การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์รับส่งข้อมูลที่ประกอบกันเป็นเครือข่ายมีการเชื่อมโยงถึงกันในรูปแบบต่างๆ ตามลักษณะทางกายภาพที่เรียกว่ารูปร่างเครือข่าย (network topology) แบ่งตามลักษณะของการเชื่อมต่อได้ 4 รูปแบบคือ
1.  เครือข่ายแบบบัส (bus topology)
เป็นรูปแบบที่มีสถานีทุกสถานีในเครือข่ายจะเชื่อมต่อเข้ากับสายสื่อสารหลักเพียงสายเดียวที่เรียกว่า บัส (bus) การจัดส่งข้อมูลลงบนบัสจึงไปทุกสถานีได้ ซึ่งวิธีการจัดส่งต้องกำหนดวิธีการที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกันเพราะจะทำให้เกิดการชนกัน (collision) ของข้อมูล  โดยวิธีการที่ใช้อาจเป็นการแบ่งช่วงเวลาหรือให้แต่ละสถานีใช้คลื่นความถี่ในการส่งสัญญาณที่แตกต่างกัน เครือข่ายแบบบัสไม่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน  เนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบัสเพียงจุดเดียวจะส่งผลให้ทุกอุปกรณ์ไม่สามารถสื่อสารถึงกันได้
คำอธิบาย: bus
รูปที่ 4.26 เครือข่ายแบบบัส

2. เครือข่ายแบบวงแหวน (ring topology)
เป็นการเชื่อมต่อแต่ละละสถานีมีลักษณะเป็นวงแหวน  สัญญาณข้อมูลจะส่งอยู่ในวงแหวนไปในทิศทางเดียวกันจนถึงผู้รับ หากข้อมูลที่ส่งเป๋นของสถานีใด สถานีนั้นก็รับไว้ ถ้าไม่ใช่ก็ส่งต่อไป ซึ่งระบบเครือข่ายแบบวงแหวนนี้ สามารถรองรับจำนวนสถานีได้เป็นจำนวนมาก ข้อด้อยคือ สถานีจะต้องรอจนถึงรอบของตนเองก่อนที่จะสมารถส่งขอ้มูลได้
คำอธิบาย: ANd9GcQEPBbl15RG1_HdCmQ7t3uHWlZtDwXAhn4OUMwl-xjosIOoCPyY
รูปที่ 4.27 เครือข่ายแบบวงแหวน

3.  เครือข่าย แบบดาว (star topology)
เป็นการเชื่อมต่อสถานีในเครือข่ายโดยทุกสถานีจะต่อเข้ากับหน่วยสลับสายกลาง เช่น ฮับ(hub) หรือสวิตซ์ (switch) ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อระหว่างสถานีต่างๆที่ต้องการติดต่อกัน ข้อดีคือถ้าสถานีใดเสียหรือสายเชื่อมต่อระหว่างฮับ/สวิตซ์ชำรุดจะไม่กระทบต่อการเชื่อมต่อของสถานีอื่น ดังนั้นการเชื่อมต่อแบบนี้จึงเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
คำอธิบาย: ANd9GcTOUv6ZY96sKj3ntB3ka6GXFXNRYLgJGFf9IqPgYSsa_5FsBGOe
รูปที่ 4.28 เครือข่าย แบบดาว

4. เครือข่ายแบบเมช (mesh topology)
เป็นรูปแบบการเชื่อมต่อที่มีความนิยมมากและมีประสิทธิภาพสูงเนื่องจากถ้ามีเส้นทางการเชื่อมต่อคู่ใดคู่หนึ่งขาดจากกัน การติดต่อสื่อสารระหว่าคู่นั้นยังสามารถติดต่อได้โดยอุปกรณ์จักฃดเส้นทาง(router) จะทำการเชื่อมต่อเส้นทางใหม่ไปยังจุดหมายปลายทางอัตโนมัติ การเชื่อมต่อแบบนี้นิยมสร้างบนเครือข่ายแบบไร้สาย
คำอธิบาย: mesh_topology 

รูปที่ 4.29 เครือข่ายแบบเมช
4.5  โพรโทคอล
                การเชื่อต่อระหว่างคอมพิวเตอร์  และอุปกรณ์เครือข่ายที่ผลิตจากผู้ผลิตหลายรายผ่านทางระบบเครือข่ายชนิดต่างๆ  กัน  ไม่สามารถเชื่อมต่อโดยตรงกันได้  เช่น  การติดต่อสื่อสารระหว่างเมนเฟรมของบริษัทไอบีเอ็ม  (IBM  mainframe)  ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยตรงกับเครื่องแมคอินทอชของบริษัทแอปเปิล (Apple  Macintosh)  ดังนั้นต้องมีการเปลี่ยนรูปแบบของข้อมูลที่ส่งและกำหนดมาตรฐานทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อให้อุปกรณ์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้  โดยมีองค์กรกลาง  เช่น  IEEE, ISO  และ  ANSI  เป็นผู้กำหนดมาตรฐานขึ้นมา
                ปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์จากต่างผู้ผลิต  สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ภายใต้มาตรฐานเครือข่ายเดียวกัน

รูปที่ 4.30 ตัวอย่างการใช้โพรโทคอลเป็นข้อตกลงในการสื่อสาร
                กฎกติกาหรือข้อตกลงที่ใช้เป็นมาตรฐานในการสื่อสารข้อมูลระหว่างผู้รับและผู้ส่ง  เรียกว่าโพลโทคอล  (protocol)  ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่ใช้ควบคุมการสื่อสารข้อมูลในเครือข่าย  ไม่ว่าจะเป็นวิธีการในการรับส่งข้อมูล  รูปแบบของการรับส่ง  อุปกรณ์หรือสื่อกลางในการรับส่งข้อมูล  วิธีการตรวจสอบความผิดพลาดของข้อมูล  รวมถึงความเร็วในการรับส่งข้อมูล  เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้โพลโทคอลชนิดเดียวกันกับการสื่อสารของมนุษย์ที่ต้องใช้ภาษาเดียวกันจึงสามารถสื่อสารกันได้เข้าใจ  ตัวอย่างการใช้โพลโทคอลเป็นข้อตกลงในการสื่อสาร  ดังรูปที่  4.30
                โพรโทคอลของการสื่อสารระหว่างสองบริษัทที่อยู่คนละประเทศ จากรูปที่ 4.30  ประธานบริษัทซึ่งพูดคุยคนละภาษา  สามารถสื่อสารกันทางไกลโดยการส่งข้อความผ่านล่ามของตนเอง  โดยล่ามทำการแปลข้อความที่ประธานบริษัทต้องการส่งถึงกัน  หลังจากนั้นล่ามจะนำข้อความไปให้เลขาของบริษัททำการจัดส่งให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง  โดยใช้บริการของเครือข่ายคอมพิวเตอร์  ซึ่งจะเห็นว่าการสื่อสารทางไกลชีวิตจริงก็มีการแบ่งระดับชั้นของหน้าที่ในการสื่อสารข้อมูล  เพื่อให้เกิดความสะดวก  และคล่องตัวในการสื่อสาร
                สำหรับโพลโทคอลที่ใช้เป็นมาตรฐานในการสื่อสารแบบใช้สาย  และแบบไร้สาย  ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย  เช่น
                ทีซีพี/ไอพี (Transmission Control Protocol / Internet Protocol: TCP/IP) เป็นโพรโทคอลที่ใช้ในการสื่อสารในระบบอินเทอร์เน็ต โดยมีการระบุผู้รับผู้ส่งในเครือข่ายและจัดการแบ่งข้อมูลเป็นชิ้นเล็กๆ ที่เรียกว่าแพ็คเก็ต (packet) ส่งผ่านไปในอินเทอร์เน็ต ดังรูปที่ 4.31 และมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ส่งไปนั้น จะได้รับอย่างถูกต้องและครบถ้วน ในการณีที่ข้อมูลเกิดผิดพลาดระหว่างทาง จะมีการร้องขอเพื่อส่งข้อมูลใหม่ให้

รูปที่ 4.31 ตัวอย่างการส่งข้อมูลโดใช้โพรโทคอลทีซีพี/ไอพี

          ไวไฟ (Wireless  Fidelity: WiFi)  มักถูกนำไปอ้างถึงเทคโนโลยีเครือข่ายแบบไร้สาย  ตามมาตรฐาน  IEEE 802.11  ซึ่งใช้คลื่นวิทยุความถี่ 2.4 GHz  เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร  ไวไฟเกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มกันของผู้ผลิตอุปกรณ์    เพื่อทดสอบว่าอุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นทำงานได้ตามมาตรฐานของ IEEE 802.11  โดยเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ได้รับการรับรองจากไวไฟ  จะสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้  ดังรูปที่  4.32 

รูปที่ 4.32 อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อถึงกันด้วยมาตรฐานไวไฟ

          ผู้ใช้งานในบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็ก  ส่วนใหญ่นิยมใช้ไวไฟการติดตั้งระบบแลนไร้สาย (wireless LAN)  โดยมีการติดตั้งแผงวงจรหรืออุปกรณ์รับส่งไวไฟที่เรียกว่า  การ์ดแลนไร้สาย (wireless LAN card) ซึ่งปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กจะมีตัวรับส่งสัญญาณไวไฟเป็นอุปกรณ์มาตรฐานแล้ว  สำหรับรัศมีการใช้งานของแลนไร้สายขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับส่งสัญญาณของอุปกรณ์  ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ห่างจากจุดเชื่อมต่อแบบไร้สาย  (wiles access point)  ไม่เกิน  100  เมตร  สำหรับการใช้งานภายในอาคาร  และไม่เกิน  500  เมตรสำหรับการใช้งานที่โล่งนอกอาคาร  แต่ในการใช้งานจริง  อาจมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลให้รัศมีการใช้งานสั้นลง  เช่น  ผนังอาคาร  หรือตำแหน่งจุดเชื่อมต่อแบบไร้สายที่อยู่ในมุมอับ  ตัวอย่างระบบแลนไร้สาย  ดังรูปที่  4.33
รูปที่ 4.33 ตัวอย่างระบบแลนไร้สาย

          ระบบแลนไร้สายมีข้อดีคือทำให้ผู้ใช้งานมีอิสระในการเคลื่อนย้ายเครื่องคอมพิวเตอร์ไปทำงาน  ในที่ต่างๆ  ได้สะดวก  อย่างไรก็ตามการใช้งานระบบเครือข่ายไร้สายมีข้อควรระวังในเรื่องของความปลอดภัยของข้อมูล  เนื่องจากสัญญาณที่ส่งในแบบไร้สายสามารถถูกดักรับได้โดยง่าย  ดังนั้นมาตรฐาน  IEEE  802.11  จึงได้กำหนดให้อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบแลนไร้สายต้องให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งหรือไม่
          ไออาร์ดีเอ  (Infrared  Data  Association: Irda)  เป็นโพรโทคอลใช้เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์สื่อสารแบบไร้สายระยะใกล้  และไม่มีสิ่งกีดขวาง  โดยใช้แสงอินฟาเรดในการติดต่อสื่อสารและมีความเร็วในการส่งข้อมูลอยู่ระหว่าง  115  kbps  ถึง  4 Mbps  ผ่านพอร์ตไออาร์ดีเอ  นิยมใช้โพรโทคอลนี้ในระบบเครือข่ายส่วนบุคคลแบบไร้สายหรือแพนไร้สาย  (wireless PAN)  ตัวอย่างระบบแพนไร้สาย  โดยใช้ไออาร์ดีเอ  ดังรูปที่  4.34

รูปที่ 4.34 ระบบแพนไร้สายโดยใช้ไออาร์ดีเอ

          บลูทูท  (Bluetooth)  เป็นโพรโทคอลที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่ 2.41 GHz  ในการรับส่งข้อมูลโดยคล้ายกับแลนไร้สาย  ตามมาตรฐาน  IEEE  802.15  มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์สามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ต่อพ่วงไร้สายอื่นๆ  เช่น  เครื่องพิมพ์  เมาส์  คีย์บอร์ด  พีดีเอ  โทรศัพท์  เคลื่อนที่  และหูฟัง    เข้าด้วยกันได้โดยสะดวก  โดยมาตรฐานบลูทูทสามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วมากกว่า  3Mbps
          อุปกรณ์ต่างๆ  ที่รองรับการทำงานแบบบลูทูท  จะต้องถูกตั้งค่าใช้งานของระบบ  โดยจะมีการจับคู่ระหว่างอุปกรณ์ที่ติดต่อกันก่อน  เมื่อเข้าใกล้กันภายในรัศมีของการสื่อสารประมาณ  10  เมตร  จะสามารถตรวจสอบพบอุปกรณ์อื่นที่เคยจับคู่ไว้แล้วได้  เกิดเป็นระบบแพนไร้สาย  ทำให้การรับส่งระหว่างกันทำได้โดยง่าย  ในการใช้งานบลูทูทจะมีอุปกรณ์ตัวหนึ่งทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์หลัก  และอุปกรณ์ที่เหลือเป็นอุปกรณ์รอง  ซึ่งอุปกรณ์หลักจะทำหน้าที่ควบคุมการส่งข้อมูลของอุปกรณ์รองตัวอื่นๆ  ทั้งหมด  ตัวอย่างระบบแพนไร้สายโดยใช้บลูทูท  ดังรูปที่  4.35
รูปที่ 4.35 ตัวอย่างระบบแพนไร้สายโดยใช้บลูทู


4.6  อุปกรณ์การสื่อสาร
                อุปกรณ์การสื่อสาร  (communication  devices)  ทำหน้าที่รับและส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ส่งและรับข้อมูล  โดยมีการส่งผ่านทางสื่อกลางดังที่กล่าวมาแล้ว  สัญญาณที่ส่งออกไปอาจอยู่ในรูปแบบดิจิทัล  หรือแบบแอนะล็อก  ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับสื่อกลางที่ใช้ในการเชื่อมต่อ
                การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่ายมีหลายแบบด้วยกัน  เช่น  การต่อผ่านโทรศัพท์บ้าน  การต่อผ่านเคเบิลทีวี  การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบใช้สายและไร้สาย  ซึ่งจำเป็นต้องมีอุปกรณ์สนับสนุนในการเชื่อมต่อในแต่ละแบบ  อุปกรณ์การสื่อสารประเภทต่างๆ  ที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบัน  เช่น
                1)  โมเด็ม  (modem)  เป็นอุปกรณ์ที่แปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นสัญญาณแอนะล็อก  และแปลงสัญญาณแอนะล็อกเป็นดิจิทัลเพื่อให้ข้อมูลส่งผ่านทางสายโทรศัพท์ได้  โมเด็มมีหลายประเภทแบ่งตามลักษณะการใช้งานได้ดังนี้
                1.1)  โมเด็มแบบหมุนโทรศัพท์  (dial-up  modem)  เป็นโมเด็มที่ใช้ต่อเข้ากับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านทางสายโทรศัพท์  การเชื่อมต่อใช้วิธีการหมุนโทรศัพท์ติดต่อไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต  ความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลต่ำประมาณ  56  kbps  ระบบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านโมเด็มแบบหมุนโทรศัพท์  ดังรูปที่  4.36
รูปที่ 4.36 ระบบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านโมเด็มแบบหมุนโทรศัพท์

                1.2)  ดิจิทัลโมเด็ม  (digital modem)  เป็นโมเด็มที่ใช้รับและส่งข้อมูลผ่านสายเชื่อมสัญญาณแบบดิจิทัล  การเชื่อมต่อโมเด็มแบบนี้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องหมุนโทรศัพท์ไปที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต  โดยโมเด็มจะทำการเชื่อมต่อให้อัตโนมัติเมื่อมีการใช้งาน  สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงตั้งแต่  128  kbps  ขึ้นไป  โดยทั่วไปจะเป็นโมเด็มที่ติดตั้งภายนอก  (external  modem)  โมเด็มแบบนี้  เช่นดีเอสแอล (Digital  Subscriber  Line:  DSL)  เป็นโมเด็มที่ได้รับความนิยมในการใช้งานในบ้าน  และสำนักงานขนาดเล็ก  โดยสามารถรับและส่งข้อมูลดิจิทัลด้วยความเร็วสูงกว่าการเชื่อมต่อผ่านโมเด็มแบบหมุนโทรศัพท์  ตัวอย่างการติดตั้งดีเอสแอลโมเด็ม  ดังรูปที่  4.37
รูปที่ 4.37 ตัวอย่างการติดตั้งดีเอสแอลโมเด็ม

         เคเบิลโมเด็ม  (cable  modem)  เป็นโมเด็มทำหน้าที่รับและส่งข้อมูลดิจิทัลจาอคอมพิวเตอร์ผ่านทางสายเคเบิลทีวี  บางครั้งเรียกว่าบรอดแบนด์  (broadband  modem)  สามารถรับและส่งข้อมูลได้สูงเหมือนกับดีเอสแอลโมเด็ม  ตัวอย่างการติดตั้งเคเบิลโมเด็ม  ดังรูปที่ 4.38

รูปที่ 4.38 ตัวอย่างการติดตั้งเคเบิ้ลโมเด็ม
                2) การ์ดแลน  (Lan  card)  เป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมระหว่างคอมพิวเตอร์กับสายตำนำสัญญาณทำให้คอมพิวเตอร์สามารถรับและส่งข้อมูลกับระบบเครือข่ายได้  ในอดีตเป็นอุปกรณ์เสริมที่ใช้ต่อเพิ่มเข้ากับเมนบอร์ดของเครื่องคอมพิวเตอร์  แต่ในปัจจุบันมักจะถูกประกอบรวมไปในเมนบอร์ด  เนื่องจากความต้องการเชื่อมต่เข้ากับเครือข่ายกลายเป็นความจำเป็นพื้นฐานของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ไปแล้วนั่นเอง  ตัวอย่างการ์ดแลนชนิดต่างๆ  ดังรูปที่  4.39

รูปที่ 4.39 การ์ดแลนชนิดต่างๆ
              3) ฮับ  (hub)  เป็นอุปกรณ์ที่รวมสัญญาณที่มาจากอุปกรณ์รับส่งหรือเครื่องคอมพิวเตอร์  หลายๆ  เครื่องเข้าด้วยกัน  ข้อมูลที่รับส่งผ่านฮับจากเครื่องหนึ่งจะกระจายไปยังทุกสถานีที่ต่ออยู่บนฮับนั้น  ดังนั้นทุกสถานีจะรับสัญญาณข้อมูลที่กระจายมาได้ทั้งหมด  แต่จะเลือกคัดลอกเฉพาะข้อมูลที่ส่งมาถึงตนเท่ากัน  ตัวอย่างการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้วยฮับ  ดังรูปที่  4.40
รูปที่ 4.40 การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับฮับ
                4)  สวิตซ์  (switch)  เป็นอุปกรณ์รวมสัญญาณที่มาจากอุปกรณ์รับส่งหรือคอมพิวเตอร์หลายเครื่องเช่นเดียวกับฮับ  แต่มีข้อแตกต่างจากฮับ  กล่าวคือ  การรับส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ตัวหนึ่ง  จะไม่กระจายไปยังทุกจุดเหมือนฮับ  ทั้งนี้เพราะสวิตซ์จะรับกลุ่มข้อมูลมาตรวจสอบก่อนว่าเป็นของคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ใด  แล้วนำข้อมูลนั้นส่งต่อไปยังคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เป้าหมายให้อย่างอัตโนมัติ  สวิตซ์จะลดปัญหาการชนกันของข้อมูลเพราะไม่ต้องกระจายข้อมูลไปทุกสถานีที่เชื่อมต่ออยู่กับสวิตซ์  และยังมีข้อดีในเรื่องการป้องกันการดักรับข้อมูลที่กระจายไปในเครือข่าย  ตัวอย่างการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้วนสวิตซ์  ดังรูปที่  4.41
รูปที่ 4.41 การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้วยสวิตซ์
                5)  อุปกรณ์จัดเส้นทาง  (  router )  เป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานในการเชื่อมโยงเครือข่ายหลายเครือข่ายเข้าด้วยกัน  หรือเชื่อมโยงอุปกรณ์หลายอย่างเข้าด้วยกัน  ดังนั้นจึงมีเส้นทางการเข้าออกของข้อมูลได้หลายเส้นทาง  อุปกรณ์จัดเส้นทางจะหาเส้นทางที่เหมาะสมให้  เพื่อนำส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายต่างๆ  ไปยังอุปกรณ์ปลายทางตามที่ระบุไว้  ตัวอย่างการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้วยอุปกรณ์จัดเส้นทาง  ดังรูปที่  4.42
รูปที่ 4.42 การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้วยอุปกรณ์จัดเส้นทาง

                6)  จุดเชื่อมต่อแบบไร้สาย  (wireless  access  point)  ทำหน้าที่คล้ายกับฮับของเครือข่ายแบบใช้สายเพื่อใช้สำหรับติดต่อสื่อสารระหว่างอุปกรณ์แบบไร้สาย  ซึ่งข้อมูลจะถูกส่งผ่านทางคลื่นวิทยุความถี่สูง  โดยจะต้องใช้งานร่วมกับการ์ดแลนไร้สายที่ติดตั้งอยู่กับคอมพิวเตอร์  หรืออุปกรณ์  เช่น  เครื่องพิมพ์  เป็นต้น  ตัวอย่างการใช้งานจุดเชื่อมต่อแบบไร้สาย  ดังรูปที่  4.43
รูปที่ 4.43 การใช้งานจุดเชื่อมต่อแบบไร้สาย
4.7  ตัวอย่างการติดตั้งแลนภายในบ้าน
                การติดตั้งแลนภายในบ้านอย่างง่าย  สามารถทำได้โดยเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสองเครื่องเข้าด้วยกันโดยผ่านสวิตซ์  และทำการปรับตั้งค่าของโพลโทคอลการสื่อสารที่เกี่ยวข้อง  เช่น  ที่อยู่ไอพีของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง  จะทำให้คอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารข้อมูลกันได้  และถ้าต้องการเชื่อมต่อแลนดังกล่าวเข้ากับอินเตอร์เน็ต  จะต้องทำการเชื่อมต่อสวิตซ์เข้ากับอุปกรณ์จัดเส้นทาง  จากนั้นผู้ใช้งานจะสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์จัดเส้นทางเข้ากับอินเทอร์เน็ตได้โดยขอใช้บริการจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
รูปที่ 4.44 ตัวอย่างการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายภายในบ้านเข้ากับอินเทอร์เน็ต

                รูปที่  4.44  แสดงตัวอย่างระบบเครือข่ายในบ้านที่ประกอบไปด้วยอุปกรณ์รับสัญญาณและเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบดีเอสแอล  ชนิดดีเอสแอลโมเด็ม (Asymmetric  Digital Subscriber line: ADSL  modem)  จากนั้นผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์จัดเส้นทางและสวิตซ์เพื่อขยายและเพิ่มจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่จะต่อพ่วงภายในบ้านหรือสำนักงานได้เอง  และเนื่องจากความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร  ทำให้ในปัจจุบันได้มีการรวมเอาอุปกรณ์จัดเส้นทาง  เอดีเอสแอล

เทคโนโลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวัน

การนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยปฏิบัติงานในด้านต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิผล มีมากมายหลายด้าน ได้แก่
 
1. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานสำนักงาน ปัจจุบันสำนักงานได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย เพื่อให้งานในสำนักงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น กล่าวคือ ทำให้งานมีความสะดวกรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้ในงานสำนักงาน ได้แก่ เครื่องพิมพ์ดีด อิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์ เครื่องถ่ายเอกสาร ผลิตภัณฑ์เหล่านี้นำไปประยุกต์ใช้กับงานสำนักงานได้หลายลักษณะ เช่น
        1.1 งานจัดเตรียมเอกสาร เป็นการใช้เครื่องประมวลผลคำหรือเครื่องประมวลผลเนื้อหา เป็นเครื่องมือในการจัดเตรียม อุปกรณ์ประกอบการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ โมเด็ม และช่องทางการสื่อสาร ระบบประมวลผลคำ แบ่งออกได้ 2 ระบบ คือ
            1.1.1 ระบบเดี่ยว (Stand – alone) เป็นระบบที่สามารถประมวลผลได้ภายในคอมพิวเตอร์ชุดเดียว หรือจะเชื่อมโยงไปยังคอมพิวเตอร์อื่น ๆ
            1.1.2 ระบบเชื่อมโยงกับข่ายการสื่อสาร เป็นระบบที่มีการเชื่อมโยงสารสนเทศซึ่งกันและกันผ่านเครือข่ายโทรคมนาคม เช่น เครือข่ายโทรศัพท์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์
        1.2 งานกระจายเอกสาร เป็นการกระจายข้อมูลสารสนเทศไปยังผู้ใช้ ณ จุดต่าง ๆ อาจกระทำโดยการเชื่อมโยงผ่านเครือข่ายโทรคมนาคม อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศที่สามารถปฏิบัติงานกระจายเอกสารได้โดยอัตโนมัติ ได้แก่ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
        1.3 งานจัดเก็บและค้นคืนเอกสาร สามารถทำได้ทั้งระบบออฟไลน์และระบบออนไลน์ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือผ่านเครือข่ายโทคมนาคมรูปแบบอื่น เช่นระบบฐานข้อมูลเป็นต้น
 
       
        1.4 งานจัดเตรียมสารสนเทศในลักษณะภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ดำเนินงานดังกล่าว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องสแกนเนอร์ โทรทัศน์
        1.5 งานสื่อสารสนเทศด้วยเสียง เช่น โทรศัพท์ การประชุมทางโทรศัพท์
 
        1.6 งานสื่อสารสนเทศด้วยภาพและเสียง เช่น ระบบมัลติมีเดีย ระบบการประชุมทางไกลด้วยภาพและเสียง เป็นต้น
2. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรมนำเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการเข้ามาช่วยในการจัดการระบบงานการผลิต การสั่งซื้อ การพัสดุการเงิน บุคลากร และงานด้านอื่น ๆ ในโรงงาน
3. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานการเงินและการพาณิชย์ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในรูปแบบของเครื่องเบิกถอนเงินอัตโนมัติ เพื่ออำนวยความสะดวกในการฝาก ถอน โอนเงิน และนำคอมพิวเตอร์ระบบออนไลน์และออฟไลน์เข้ามาช่วยในการทำงานประจำวันของธนาคารด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลของธนาคารต่างสาขา ต่างธนาคาร ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเบิก ถอน โอนเงินชำระเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้โดยสะดวก
 
4. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานด้านการสื่อสาร ได้แก่ การบริการโทรศัพท์วิทยุ โทรทัศน์ เคเบิลทีวี การค้นคืนสารสนเทศระบบออนไลน์ ดาวเทียม และโครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิตอล
5. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานด้านสาธารณสุข เช่น
        5.1 ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล ถูกนำมาใช้ในระบบงานเวชระเบียน ระบบข้อมูลยาการรักษาพยาบาล การคิดเงิน รวมทั้งการส่งเวชระเบียนผ่านระบบโทรคมนาคมที่อาจเรียกว่า โทรเวชได้
        5.2 ระบบสาธารณสุข เทคโนโลยีสารสนเทศถูกนำมาใช้ในการดูแลรักษาโรคระบาดในท้องถิ่น เช่น เมื่อมีผู้ป่วยโรคอหิวาตกโรคในหมู่บ้าน ซึ่งอาจกลายเป็นโรคระบาดได้
        5.3 ระบบผู้เชี่ยวชาญ เป็นระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการวินิจฉัยโรค เช่น ระบบ Mycinของมหาวิทยาลัยสแดนฟอร์ด โดยเริ่มมาใช้ในการวินิจฉัยโรคพืชและโรคสัตว์ ที่ใช้หลักการเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้โดยละเอียดแล้วใช้หลักปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยวิเคราะห์ เป็นแนวคิดในการทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เหมือนมนุษย์
 
6. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับงานด้านการฝึกอบรมการศึกษา ดังนี้
        6.1 การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction : CAI) เป็นการนำเอาคำอธิบายบทเรียนมาบรรจุไว้ในคอมพิวเตอร์ แล้วนำบทเรียนนั้นมาแสดงแก่ผู้เรียน เมื่อผู้เรียนอ่านคำอธิบายเหล่านั้น คอมพิวเตอร์จะมีส่วนที่ใช้ทดสอบความเข้าใจของผู้เรียนด้วยว่าถูกต้องหรือไม่ หากเข้าใจไม่ถูกต้องคอมพิวเตอร์จะทำการอธิบายเนื้อหาเพิ่มเติมให้เข้าใจมากขึ้น แล้วถามซ้ำอีก
        6.2 การศึกษาทางไกล เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในการจัดการศึกษาทางไกลมีหลายแบบตั้งแต่แบบง่าย ๆ เช่น การเรียนการสอนผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ออกอากาศให้ผู้เรียนศึกษาเอง ตามเวลาที่ออกอากาศ ไปจนถึงใช้ระบบแพร่ภาพการสอนผ่านดาวเทียม หรือการประยุกต์ใช้ระบบประชุมทางไกล โดยผู้สอนและผู้เรียนสามารถสื่อสารถึงกันได้ทันที่ เพื่อสอบถามข้อสงสัยหรืออธิบายคำสอน เพิ่มเติม
        6.3 เครือข่ายการศึกษา เป็นการจัดทำเครือข่ายการศึกษาเพื่อให้ครูอาจารย์และนักศึกษามีโอกาสใช้เครือข่ายเพื่อแสวงหาความรู้ที่มีอยู่มากมายในโลก และใช้บริการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ทาง การศึกษา เช่น บริการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Mail : E-mail) การเผยแพร่และค้นหา ข้อมูลในระบบเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web)
 
        6.4 การใช้งานในห้องสมุด มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการดำเนินงานโดยมีเครือข่ายต่าง ๆ ที่ให้การส่งเสริมสนับสนุนในการให้บริการห้องสมุด การนำเทคโนโลยี
สารสนเทศมาใช้ในห้องสมุดให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริการยืม คืน การค้นหาหนังสือ วารสาร สิ่งพิมพ์ หรือการค้นหาข้อมูลที่ต้องการทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมาก
        6.5 การใช้งานในห้องปฏิบัติการ มีการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทำงานในห้องปฏิบัติการร่วมกับอุปกรณ์เครื่องมืออื่น ๆ เช่น การจำลองแบบ การออกแบบวงจรไฟฟ้า การ ควบคุม การทดลอง
        6.6 การใช้ในงานประจำและงานบริหาร เช่น การจัดทำทะเบียนประวัติของนักเรียน นักศึกษา การเลือกวิชาเรียน การลงทะเบียนเรียน การแสดงผลการเรียน การแนะแนวอาชีพ การแนะแนวการศึกษาต่อ การเก็บข้อมูลผู้ปกครองหรือข้อมูลครู ซึ่งทำให้ครูอาจารย์สามารถติดตามและดูแล นักเรียนได้ใกล้ชิดมากขึ้น รวมทั้งครูอาจารย์สามารถพัฒนาตนเองได้สูงขึ้น